Stay or Go? เหตุผลที่พนักงานสมัครใจลาออก

Published on
Written by

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาหลายองค์กรคงเริ่มคุ้นกับภาพของ “พนักงานที่ขอลาออกด้วยความสมัครใจ” บางคนจากไปพร้อมคำขอบคุณสั้น ๆ บางคนตัดสินใจแน่วแน่ ทั้งที่ยังทำผลงานได้ดีและบางคนจากไปอย่างที่หัวหน้าแทบไม่ได้ตั้งตัว

สิ่งที่น่าคิดคือทำไมพวกเขาถึงเลือก “ไป” ทั้งที่ไม่มีแรงกดดัน? ทำไมคนที่องค์กรรักและพยายามรักษาไว้ถึงตัดสินใจออกจาก Comfort Zone ด้วยตัวเอง? เพราะแท้จริงแล้ว การตัดสินใจลาออกมักไม่ใช่การตัดสินใจชั่ววูบ แต่มันคือผลลัพธ์ของความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในใจคนทำงาน และถ้าองค์กรเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ได้ก็อาจไม่ต้องเสียคนเก่งไปโดยไม่รู้ตัว

การลาออกไม่ใช่จุดจบ แต่เป็น “สัญญาณบางอย่าง” ที่องค์กรควรรับฟัง

หลายครั้งที่พนักงานบอกลาองค์กร เขาไม่ได้แค่จากงานหนึ่งไปสู่อีกงานหนึ่ง แต่กำลังบอกเราว่า “มีบางอย่างในที่นี่ไม่ตอบโจทย์เขาอีกต่อไป” องค์กรที่มองการลาออกอย่างเข้าใจ มักใช้ช่วงเวลานี้ในการ “เรียนรู้” มากกว่า “โทษใคร” เพราะทุกการลาออกสะท้อนวัฒนธรรมบางอย่างในองค์กร ทั้งสิ่งที่ดีพอจะให้คนอยู่ และสิ่งที่อาจต้องปรับเพื่อให้คนอยากอยู่ต่อ

5 เหตุผลหลักที่คนเลือก “Go” ด้วยตัวเอง

  1. “รู้สึกไม่มีคุณค่า” เหมือนวันแรกที่เริ่มต้น

พนักงานต้องการมากกว่าเงินเดือนที่ออกตรงเวลา พวกเขาต้องการ “ความหมาย” เมื่อวันหนึ่งสิ่งที่ทำไม่ได้รับการเห็นคุณค่า หรือไม่มีผลต่อเป้าหมายที่สำคัญ ความรู้สึก “หมดใจ” จึงเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ องค์กรที่เข้าใจจะสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้คนรู้สึกว่า “สิ่งที่ฉันทำมีคุณค่า” ทุกวัน

  1. “ไม่เติบโต” แม้จะอยู่ในที่ปลอดภัย

ความมั่นคงในงานเคยเป็นสิ่งที่คนทำงานยุคก่อนให้ความสำคัญ แต่กับคนรุ่นใหม่ “ความมั่นคง” ถูกแทนที่ด้วย “โอกาสในการเติบโต” เมื่อพนักงานรู้สึกว่างานไม่ท้าทาย ไม่มีการเรียนรู้ใหม่ ๆ หรือไม่เห็นเส้นทางความก้าวหน้า เขาจะเริ่มถามตัวเองว่า “ฉันกำลังอยู่ในเส้นทางที่อยากไปจริงหรือเปล่า” และถ้าองค์กรตอบคำถามนั้นไม่ได้ พนักงานจะออกไปหาคำตอบเอง

  1. “ไม่ตรงกัน” ในคุณค่าและวัฒนธรรม

บางครั้งการลาออกไม่ใช่เพราะความขัดแย้ง แต่เพราะ “ความไม่สอดคล้องกัน” เมื่อค่านิยมส่วนตัวกับค่านิยมองค์กรเดินคนละทาง พนักงานจะค่อย ๆ ถอยออกมา องค์กรที่สื่อสารคุณค่าอย่างจริงใจและเปิดกว้าง จะรักษาคนที่ “เหมาะ” ได้ดีกว่า เพราะทุกคนอยากทำงานในที่ที่รู้สึกว่า “ตัวตนของฉันมีที่ยืน”

  1. “อยากดูแลชีวิตตัวเอง” ให้สมดุลมากกว่าเดิม

ในยุคที่คำว่า “สุขภาพใจ” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หลายคนเริ่มนิยาม “ความสำเร็จ” ใหม่ว่า ไม่ใช่แค่การก้าวหน้าในงาน แต่คือการมีชีวิตที่ work life balance มีชีวิตที่สมดุล บางคนอยากกลับมาใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น บางคนอยากดูแลสุขภาพที่ละเลยมานาน และบางคนอยากทุ่มเทให้สิ่งที่รัก นอกเหนือจากบทบาทในองค์กร  การลาออกในกรณีนี้ไม่ได้เกิดจากปัญหาภายในองค์กร แต่มาจากความต้องการกลับมา “จัดลำดับความสำคัญของชีวิต” ใหม่อีกครั้ง องค์กรที่เข้าใจจะไม่มองว่าพนักงานหนีงาน แต่จะมองว่าพนักงานกำลัง “เติบโตในแบบของตัวเอง” เพราะในท้ายที่สุดแล้ว คนที่มีชีวิตสมดุล คือคนที่พร้อมสร้างคุณค่าให้กับงานได้อย่างยั่งยืน

  1. “อยากเริ่มต้นใหม่” ด้วยความหวัง

ไม่ใช่ทุกการลาออกจะมาพร้อมความเสียใจบางครั้งมันคือ “จุดเริ่มต้นใหม่” ของคนที่อยากเดินไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจเต็มร้อย บางคนอยากเปลี่ยนสายอาชีพ บางคนอยากกลับไปเรียนต่อ บางคนอยากเริ่มต้นธุรกิจหรือโปรเจกต์ในฝัน พวกเขาไม่ได้ “หนีจากสิ่งเดิม” แต่ “เลือกสิ่งใหม่” ด้วยความชัดเจนในใจ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต การเติบโตไม่ได้หมายถึงการอยู่ที่เดิมให้นานที่สุด แต่มันคือการกล้าที่จะเปลี่ยน เพื่อให้ตัวเองได้เรียนรู้และเติมเต็มสิ่งที่สำคัญกว่าเดิม และเส้นทางใหม่นี้ อาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ยังอยู่ในองค์กรได้เห็นว่า “ความกล้าที่จะเริ่มต้นใหม่” ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการเติบโตเช่นกัน

แล้วองค์กรควรทำอย่างไร เมื่อคนเลือก “Go” ด้วยใจ

แทนที่จะโฟกัสที่ “การจากลา” องค์กรควรมองไปที่ “สิ่งที่ยังอยู่” มากกว่า ทั้งบทเรียนจากเหตุผลที่พนักงานตัดสินใจไปและคนที่ยังคงอยู่ในทีม ซึ่งอาจได้รับผลกระทบทางใจไม่มากก็น้อย การลาออกของใครคนหนึ่งคือโอกาสให้ผู้นำหยุดฟัง ทำความเข้าใจ และทบทวนว่าองค์กรได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้คนรู้สึกมีคุณค่าและอยากเติบโตอยู่หรือไม่ เพราะสุดท้าย การดูแล “คนที่อยู่” ให้รู้สึกมั่นใจและมีแรงใจ คือหัวใจของการรักษาองค์กรให้เดินต่อได้อย่างแข็งแรง

  1. รับฟังอย่างจริงใจ (Active Listening)

เมื่อพนักงานตัดสินใจลาออก สิ่งที่องค์กรควรทำคืออย่ารีบหาคนใหม่มาแทน แต่จงฟังให้เข้าใจ เพราะการฟังด้วยใจคือการแสดงความเคารพต่อการตัดสินใจของพนักงาน และยังเป็นการสร้างความไว้วางใจ ที่อาจต่อยอดความสัมพันธ์ในอนาคตได้

  1. สะท้อนและเรียนรู้ (Reflect & Learn)

ทุกการลาออกคือข้อมูลที่มีค่า เพราะเบื้องหลังการตัดสินใจของแต่ละคน สะท้อนวัฒนธรรม การบริหาร และความคาดหวังที่ไม่เคยถูกพูด เมื่อองค์กรกล้าฟังและเป็นกระจกสะท้อนอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยสร้างวัฒนธรรม “การเรียนรู้ร่วมกัน” ที่ทุกเสียงมีคุณค่าและความหมาย

  1. ดูแลอย่างมืออาชีพ (Professional Transition)

เมื่อพนักงานตัดสินใจเดินออกจากองค์กร หน้าที่ขององค์กรไม่ได้จบลงเพียงแค่ส่งมอบเอกสารหรือเคลียร์กระบวนการทางธุรการให้เสร็จสิ้น สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการ “การดูแลช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างมีมนุษยธรรม” คือหัวใจขององค์กรที่มีคุณค่า

LHH Thailand เชื่อว่า “การดูแลคนไม่ได้จบลงในวันที่เขาอยู่ แต่สะท้อนผ่านวิธีที่เราดูแลเขาในวันที่เขาไป” ส่งต่อความห่วงใยด้วยการผ่านการสนับสนุนด้านอาชีพ การให้คำปรึกษา และการเตรียมความพร้อมสำหรับก้าวต่อไป

โปรแกรม Outplacement และ Career Transition ของ LHH Thailand

ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรบริหารการเปลี่ยนผ่านอย่างมืออาชีพมีมนุษยธรรม พร้อมช่วยให้พนักงานค้นพบทิศทางใหม่อย่างมั่นใจและเห็นคุณค่าของตัวเองในทุกช่วงเวลา เพราะการดูแลคนอย่างมืออาชีพ ไม่ได้จบลงในวันที่เขายังอยู่ แต่มันสะท้อนถึงความเคารพ ความเข้าใจ และวัฒนธรรมที่เชื่อใน “คุณค่าของพนักงาน” อย่างแท้จริง

สุดท้ายแล้วการดูแลคนคือการดูแลอนาคตขององค์กร

เมื่อองค์กรกล้าที่จะรับฟัง สะท้อน และดูแลอย่างมืออาชีพ ทุกการจากไปจะไม่ใช่ความสูญเสีย แต่คือ “การต่อยอดความเข้าใจ” ที่ทำให้เรารู้ว่าคนต้องการอะไร และองค์กรควรเป็นอย่างไรเพื่อให้คนอยากอยู่ต่อ

เพราะในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะ “Stay” หรือ “Go” สิ่งที่คนจะจดจำไม่ใช่ว่าเขาอยู่กับองค์กรนานแค่ไหน แต่คือ “ความรู้สึก” ที่องค์กรทิ้งไว้ในวันที่เขาเดินจากไป