Outplacement ในยุคดิจิทัล

Published on
Written by

เคยตั้งคำถามกับตัวเองมั๊ย ทำไมส่ง resume ออกไปแล้วทำไมเงียบกริบ จนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะ resume เราไม่ดีพอ หรือตำแหน่งที่เปิดรับสมัครไม่ได้เปิดรับจริงจัง หรือระบบที่ใช้ส่ง resume ขัดข้องและอีกหลายทำไมทั้ง ๆ ที่เราพิจารณาแล้วว่าตำแหน่งงานที่เราส่งสมัครค่อนข้างตรงกับประสบการณ์และความสามารถ 

ในยุคดิจิทัลแบบนี้ AI ก็ถูกนำมาใช้การเปิดรับสมัครงานเช่นเดียวกับกระบวนการทำงานด้านอื่น และผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ คิดระบบที่โดยใช้ AI ช่วยลดระยะเวลาการคัดกรอง resume ได้อย่างมหาศาลและทำให้ได้ผู้สมัครที่ตรงกับความต้องการอย่างมากที่สุด 

กว่า 99% ของบริษัทใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทของไทยหรือของต่างชาติล้วนหันมาใช้ AI และบริษัทที่ผลิตแอพพลิเคชั่นเหล่านี้ก็แข่งกันพัฒนาเพื่อให้เป็นที่ถูกใจตรงตามความต้องการของผู้ใช้กันอย่างมาก ช่วยแก้ปัญหากระบวนการสรรหาได้เป็นอย่างดี 

ในส่วนของบริษัทที่ใช้แอพพลิเคชั่นเหล่านี้ต่างก็เห็นความจำเป็นของการใช้ดิจิทัลเพื่อช่วยให้การสรรหาบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และกำหนดขั้นตอนและกระบวนการสรรหาบุคคลตั้งแต่ต้นจนจบ (End-to-End) เริ่มจากการวางแผน กำหนดระยะเวลา การเขียน Job Description การลงประกาศรับสมัคร การคัดเลือกตัวบุคคล การสัมภาษณ์ การโต้ตอบกับผู้สมัคร การทำ Letter of Offer ไปจนถึงการปฐมนิเทศน์ Orientation หรือ Onboarding โดยที่ไม่ต้องใช้จำนวนพนักงานจำนวนมากในทุกขั้นตอนของการสรรหา เพราะในที่สุดคนที่ตัดสินใจเลือกบุคคลากรคือ ผู้นำในแผนกหรือฝ่ายที่ผู้สมัครต้องร่วมงานด้วยในที่สุด 

แอพพลิเคชั่นที่นิยมใช้กันมากก็คงจะหนีไม่พ้น LinkedIn ที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี นอกจากนั้นบริษัทที่ให้บริการด้านระบบก็ต้องพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อการสรรหาบุคคลเช่นเดียวกัน เช่น Taleo ซึ่งเป็นของ Oracle, SuccessFactors ของ SAP และยังมีอีกมากมายที่พัฒนาแอพพลิเคชั่นเหล่านี้เพื่อใช้ในการสรรหาบุคคลอย่างเดียว เช่น Workday, L ever, Greenhouse, Manatal และอีกมากมาย  

การใช้ AI ที่จะพูดถึงในการคัดเลือกบุคคลากร เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวในกระบวนการสรรหาบุคคลจากขั้นตอนการสรรหาทั้งหมด คือ การคัดเลือก resume เท่านั้นเพราะมีผลโดยตรงต่อการหางานของผู้สมัคร 

การทำงานของ Applicant Tracking System คือการ matching ใจความใน resume กับ Job Description โดยระบบจะวัดค่าเป็นเปอร์เซนต์ เชื่อว่าผลของการวัดค่าต่ำกว่า 80% ก็จะไม่มีการพิจารณาแต่อย่างใด 

ผลลัพย์จากการคัดกรองโดย AI ในเบื้องต้นจึงเหลือจำนวนผู้สมัครน้อยมากซึ่งมีบางหน่วยงานในระดับสากลได้ทำสถิติไว้ว่า ระบบ AI สามารถคัด resume ที่ไม่ตรงกับความต้องการทิ้งไปสูงถึง 98% เท่ากับว่ามีเพียง 2% เท่านั้นที่ได้รับพิจารณา ซึ่งในแง่ของผู้สรรหาจึงถือว่าการใช้ระบบจึงมีประสิทธภาพค่อนข้างสูง และได้บุคคลกรที่ตรงตามความต้องการ 

แต่ในฐานะผู้สมัครไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าใจระบบต่างๆเหล่านั้น และควรต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้ Resume ของเราผ่านการคัดกรองเบื้องต้นเหล่านี้ได้ 

ถึงแม้ว่าผู้สมัครมีความเข้าใจการทำงานของระบบ AI เป็นอย่างดีแล้วก็ตาม สามารถใช้ Keyword ตรงตาม Job Description และผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นได้แล้ว อย่าลืมว่า HR หรือ Recruiter หรือ Talent Acquisition Officer ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็ตามจะเป็นผู้พิจารณา resume ที่ผ่านการคัดเลือกของ AI มาแล้วในที่สุด ซึ่งการพิจารณาจึงต้องดูความเป็นไปได้ว่าคุณสมบัติที่เขียนมามีความเหมาะสมในด้านใด และมีประสบการณ์ตรงจริงหรือไม่ ซึ่งกระบวนการเขียน resume ก็ต้องมีการทำการตลาดสำหรับตัวเองผ่าน resume อีกด้วย 

สรุปคือ  resume ที่ผ่านการคัดเลือกจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนเหมาะสมทั้งกับ AI และผู้คัดเลือก การทำความเข้าใจในเรื่องนี้ต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มีโอกาสในการหางานได้มากยิ่งขึ้น และรวดเร็วอีกด้วย 

ในปัจจุบันคนส่วนหนึ่งตระหนักรู้ว่า AI สามารถช่วยเขียน resume ด้วยคำพูดสวยหรู ถูกต้องตามไวยากรณ์อาจจะเรียกได้ว่า 100% เลยทีเดียวและแน่นอนการเขียน resume ด้วย AI ทำให้ผ่านการคัดเลือกโดย AI ได้เกือบ 100% แต่ผู้สรรหาเกิดมีข้อกังขาว่าจริงแล้วผู้สมัครมีคุณสมบัติและความสามารถตรงตามที่เขียนจริงหรือไม่ เพราะ AI มักจะใช้คำที่อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่าเป็นคำประดิษฐ์และทำให้รู้สึกได้ว่าอาจจะเป็นการเขียนแบบเกินความเป็นจริง ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกกังวลว่าใช่คนที่ต้องการหรือไม่ แต่ในด้านดีก็มี เพราะทำให้เชื่อได้ว่าผู้สมัครเป็นคนที่รู้จักใช้เทคโนโลยีและน่าจะเป็นคนที่ปรับตัวไปกับยุคสมัยได้ค่อนข้างดี 

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามผู้สรรหาก็จะมีวิธีสรรหาบุคคลที่ใช่ในที่สุด เพื่อให้องค์กรสามารถมีคนมาทำงานและเกิดประสิทธิผล และสรรหามาตรการเฉพาะตัวขึ้นมาแก้ไขและปรับปรุงการสรรหาเพื่อให้ตรงกับ KPI ที่ถูกกำหนดไว้อยู่ดี 

ผู้เชี่ยวชาญในบริษัทที่ให้บริการด้าน Outplacement เข้าใจปัญหาของทั้งสองฝ่ายไม่ว่าเป็นผู้สรรหา และผู้สมัคร การให้คำแนะนำจึงเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้สมัคร 

องค์กรที่มีการปรับโครงสร้างขององค์การ การปฏิรูปองค์กร หรือการเปลี่ยนแปลงใดใดที่มีผลกระทบต่อพนักงานที่มีการถูกเลิกจ้าง จึงควรต้องพิจารณาการให้บริการด้าน Outplacement อย่างจริงจังเพราะการหางานในปัจจุบันไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว การที่พนักงานที่ถูกบอกเลิกจ้างได้งานเร็วเท่าไร ถือเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จ (key success) ของเป้าหมายทางธุรกิจด้วย 

นอกจากนั้นพนักงานที่มีผลกระทบจะมีความรู้สึกว่าถึงแม้จะไม่ได้ไปต่อกับบริษัทเพราะการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่บริษัทก็ยังคงมีความหวังดีส่งพวกเขาเหล่านั้นให้มีความมั่นคงในอาชีพในองค์กรอื่น ๆ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาใดใด

LHH (Lee Hecht Harrison) เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Outplacement และ Career Transition ดำเนินงานในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งให้บริการในการช่วยเหลือพนักงานที่ถูกเลิกจ้างหรือต้องเปลี่ยนสายอาชีพภายในองค์กรและนอกองค์กร  

LHH มีบริการ Outplacement และ Career Transition ที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของพนักงานทุกระดับ ที่ต้องการพัฒนาอาชีพใหม่ให้สามารถก้าวข้ามขั้นตอนที่ท้าทายของการเปลี่ยนงานหรืออาชีพได้อย่างราบรื่น และประสบความสำเร็จโดยทีมที่ปรึกษาจาก LHH จะให้คำปรึกษาในเรื่องการพัฒนาทักษะและการเตรียมตัวสำหรับการสมัครงาน อาทิเช่น เทคนิคการสัมภาษณ์งาน การเขียนประวัติการทำงานอย่างย่ออย่างฉบับมืออาชีพ ทราบถึงข้อมูลตลาดงานในปัจจุบัน การสร้างเครือข่ายที่เป็นประโยชน์ และอื่น ๆ เพื่อให้พนักงานเริ่มต้นในสายงานใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่[email protected]หรือโทร  022586930-35